บทความ supercar

ตัวถังสีฟ้า Azzuro Flake สั่งพิเศษผ่าน Ad Personam ซึ่งเลียนแบบสีต้นตำหรับของ Miura ที่จอดถ่ายคู่กัน แต่จะเพิ่มประกายในเนื้อสีให้วิบวับขึ้น ส่วนล่างตัวรถตัดด้วยสีเทา Grigio Liqueo และเสริมเส้นขอบสีดำ Nero Aldebaran

Jaguar F-TYPE อีกหนึ่งรถสปอร์ตหรูที่เตรียมเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน เปิดตัว F-TYPE 75 รุ่นฉลองครบรอบ 75 ปี ที่จะเป็นตัวสันดาปรุ่นสุดท้ายแล้ว หมดรุ่นนี้ก็เตรียมเข้าสู่ยุคไฟฟ้าได้เลยในปี 2025

GranTurismo ถูกแบ่งออกมาด้วยกัน 3 รุ่นย่อย Modena, Trofeo และ Folgore โดยรุ่น Modena กับ Trofeo จะใช้เครื่องยนต์สันดาปเหมือนกัน Nettuno V6 ขนาด 3.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลัง 490 แรงม้า (รุ่น Moderna) ส่วนรุ่น Trofeo จะมีการอัพเกรดความแรงเพิ่มขึ้นเป็น 550 แรงม้า

แมตซ์กับสีตัวถังส่วนล่างที่เราเลือก และที่แผงคอนโซลฝั่งผู้โดยสารยังติดแผงโลหะอัลลอยที่ทำขึ้นจากเพลาข้อเหวี่ยงของรถแข่ง Ford GT จากการแข่ง Le Mans ในปี 2016 อีกด้วย

และยังมาพร้อมโหมดใหม่ Torque Rear Drive Mode เปิดใช้งานผ่านปุ่มรูปธงหมากรุกบนพวงมาลัย โหมดนี้จะให้ผู้ขับสามารถเลือกได้ว่าจะให้ระบบ ESC เข้ามาช่วยแค่ไหน ปรับได้ 7 ระดับ ถ้าระดับ 1 ระบบจะช่วยเยอะสุด แต่ถ้าระดับ 7 ตัวรถจะท้ายปัดได้ง่าย

งาน Chantilly Arts & Elegance Richard Mille 2022 ครั้งที่ 4 จัดขึ้นในสวนสาธารณะขนาดใหญ่ของ Château de Chantilly ปราสาทเก่าแก่ ตั้งอยู่ห่างปารีสไปทางเหนือ 45 กม. ซึ่งถือเป็นหนึ่งในอัญมณีมรดกทางวัฒนธรรมของฝรั่งเศส

เครื่องยนต์แบบ V8 ขนาด 4.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังเท่าเทียมรุ่น Performante 666 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที กับแรงบิดสูงสุด 850 นิวตันเมตร ที่ 2,300-4,500 รอบ/นาที เร่ง 0-100 กม./ชม. ในเวลา 3.5 วินาที (ช้ากว่า Performante 0.2 วิ) 0-200 ใน 11.5 วินาที (ช้ากว่า Performante 1 วิ)

ตัวถังใช้สีแดง 'Rosso Passionale' พ่นหนา 3 ชั้น พร้อมคาดเส้นกึ่งกลางด้วยสีน้ำเงิน-ขาว แรงบันดาลใจจาก Ferrari 410 S ปี 1955 กันชนหน้ามีช่องรับอากาศใหญ่โต

Murciélago เป็น Lamborghini รุ่นแรกที่เริ่มใช้โปรแกรม CAD (Computer Aided Design) และ CAM (Computer Aided Manufacturing) เป็นโปรแกรมคอมพิวเตอร์แม่นยำมาช่วยในการออกแบบและผลิต

สำหรับเซตกระเป๋าหนึ่งชุดคุณจะได้ 4 ชิ้น คือ กระเป๋ารองเท้า, กระเป๋าสูท, กระเป๋าวันหยุดสุดสัปดาห์ และกระเป๋าเดินทางขึ้นเครื่อง ซึ่งวางได้พอดีกับสัมภาระท้ายขนาด 48 ลิตร ของ Battista ตัววัสดุเป็นหนังแท้กึ่งอนิลีนรวมถึงสีแบบเดียวกับที่ใช้บนตัวรถ

Novitec Maserati MC20 เอาจริงมองผ่านๆ มันแทบจะเป็นของเดิมเลย ภายนอกเสริมหล่อเบาๆ ด้วยงานคาร์ไฟเบอร์ขนาดเล็กเพียง 4 จุด เท่านั้น ครีบเล็กเหนือช่องลมซ้าย-ขวากันชนหน้า, ฝาปิดเหนือช่องลมฝากระโปรงหน้า

Centodieci ไฮเปอร์คาร์ตัวพิเศษ 10 คันในโลก ค่าตัวระดับ 8 ล้านยูโร ตีเป็นเงินไทยราว 290 ล้านบาท (ยังไม่รวมภาษี) สร้างขึ้นเพื่อฉลองครบรอบแบรนด์ Bugatti อายุ 110 ปี เป็นหนึ่งรุ่นที่คนต้องการมาก หน้าตาของมันได้แรงบันดาลใจจากรุ่น EB110

โครงสร้างแซสซีใหม่หมดส่วนล่างทำมาจากอลูมิเนียมอัลลอยด์ที่มีความแข็งแรงสูง ดีไซน์ภายนอกดูเรียบหรูมีสไตล์ เน้นแอโรไดนามิก เหนือไฟหน้ามีช่องลม Aerobridge ซึ่งลมจะทะลุออกช่องลมใต้เสา A-Pillars

รูปลักษณ์ภายนอกยังคงเน้นสไตล์ให้ดูเหนือกาลเวลา ส่วนหน้าดูเรียบง่ายสไตล์ Zonda ไฟหน้าเลนส์คู่เสริมกรอบดูย้อนยุค บานประตูยกแบบปีกผีเสื้อ บั้นท้ายพร้อมท่อไอเสีย 4 รู ที่คุ้นเคย มีปีกท้ายแอคทีฟแยกซ้าย-ขวา ไฟท้ายได้แรงบันดาลใจจากใบพัดเครื่องบิน

Flying Spur Speed ใช้ขุมพลัง W12 ขนาด 6.0 ลิตร เทอร์โบคู่ ให้กำลังสูงสุด 635 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 900 นิวตันเมตร ที่ 1,500-5,000 รอบ/นาที เร่ง 0-100 กม./ชม. ใน 3.8 วินาที

ประกอบด้วยแป้นคันเร่ง, เบรก ตัวก้านยึดแป้น และส่วนฐานทำจากอะลูมิเนียมชุบอโนไดซ์สีดำ งานออกแบบไม่ต่างจากใน Huayra R ของจริง โดยจะมีการปรับแต่งเล็กน้อยเพื่อให้เข้ากับการมาใช้เล่นเกม เบรกมีการใส่ระบบ

ย้อนไปช่วงปลายปี 2020 ทาง Ducati และ Lamborghini เคยปล่อยผลงานแรกมาแล้ว นั่นคือ Diavel 1260 Lamborghini ซึ่งได้แรงบันดาลใจจาก Lamborghini Sián และในปี 2022 เป็นผลงานที่สอง Ducati Streetfighter V4 Lamborghini

ใช้สีฟ้า turquoise ไล่ระดับไปเรื่อยๆ จนถึงท้ายรถเป็นสีดำเข้มสุด ซึ่งคันในรูปเป็นแค่ตัวอย่างเท่านั้น คุณสามารถเลือกสีและลวดลายอะไรก็ได้ตามความชอบ จากนั้นก็เพิ่มความดุดันด้วยชุดแต่งที่ทำจาก Forged Carbon ทั้งหมด

V12 Vantage Roadster ถือเป็นตัวโหดส่งท้ายสำหรับเครื่องยนต์ V12 แถมความหล่อด้วยหลังคาผ้าใบเปิดประทุนโชว์สาวได้ทันท่วงที เปิด 6.7 วินาที ปิด 6.8 วินาที ที่ความเร็วไม่เกิน 50 กม./ชม. ความดุดันภายนอกไม่ต่างจาก V12 Vantage ตัวคูเป้ แรงกดนั้นสูงกว่า Vantage Roadster ปกติ ถึง 10 เท่า

สปอยเลอร์หลังใหม่, และดิฟฟิวเซอร์ ชิ้นส่วนเหล่านี้ช่วยให้มันเบากว่า Urus รุ่นปกติ 47 กก. ด้านแอโรไดนามิกก็ดีขึ้น 10% และสร้างแรงกดได้เพิ่มขึ้น 38% ความสูงรถลดลง 20 มม. จากสปริงเหล็กใหม่ และTrack ล้อก็ขยายกว้างขึ้น

รถรุ่นนี้ถือเป็นตัวบ่งชี้งานดีไซน์อนาคตของ Bentley ยุคใหม่ รุ่นที่ใช้เครื่องสันดาปเพียวๆ ก็จะค่อยๆ หายไปแล้ว มุ่งสู่รถไฮบริดและไฟฟ้า BEV เต็มรูปแบบ คันที่เอาไปโชว์ที่งาน Monterey ใช้ตัวถังสีเงิน Bonneville Pearlescent Silver ไฟหน้ากลมคู่ที่เราคุ้นเคยเปลี่ยนมาเป็นโคมชิ้นดียวมีเส้นไฟ DRL

Venom F5 Roadster เมื่อดูจากภายนอกส่วนใหญ่แทบจะเหมือนตัว Coupe หมด ยกเว้นตัวหลังคาทำจากคาร์บอนไฟเบอร์คอมโพสิตถอดสลักด้วยมือ เบาเพียง 8 กก. เท่านั้น ฝาครอบเครื่องเปลี่ยนมาใช้แบบใสเห็นเครื่องชัดเจนพร้อมเซาะร่องระบายความร้อนรอบๆ

CC850 ใช้เกียร์อัตโนมัติ 9 สปีด 7 คลัทซ์ Light Speed Tranmission (LST) ตัวเดียวกับใน Jesko แต่เจ๋งกว่าตรงใส่ระบบ Engage Shift System (ESS) เข้าไป ทำให้มันสลับเป็นรถเกียร์ธรรมดา 6 สปีด ได้ในทันที คลัทซ์ไฟฟ้าให้ฟิลลิ่งที่ไม่หนักและเบาเกินไป

มองจากด้านหน้า Mistral ดูใกล้เคียงกับ La Voiture Noire มาก ไฟหน้ามาเป็น LED เส้น 4 ชั้น ตัวกระจกบังลมโค้งรูปตัว V กรอบเสาบางพิเศษ ด้านข้างรถคงเอกลักษณ์ช่องลม C-line ไว้ แต่จะเล็กกว่า Chiron ปกติ เหตุผลเพราะมันมีช่องสกู๊ปคู่เหนือหัวผู้ขับทำด้วยชิ้นงานคาร์บอนไฟเบอร์

เว็บไซต์นี้มีการใช้งานคุกกี้ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสบการณ์ที่ดีในการใช้งานเว็บไซต์ของท่าน ท่านสามารถอ่านรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว  และ  นโยบายคุกกี้