4196 จำนวนผู้เข้าชม |
Lotus Evija ไฮเปอร์คาร์พลังงานไฟฟ้ารุ่นแรกของค่าย ที่ทรงพลังที่สุด ดึงเทคโนโลยีในหลายๆ ด้าน จากรถแข่ง Formula 1 ทำให้มันทั้งเบา แข็งแกร่ง และปลอดภัยอย่างมาก สำหรับชื่อของมัน Evija เมืองนอกออกเสียง อี-วิ-ยา แต่สำหรับคนไทยเพื่อให้ออกเสียงง่าย จะอ่านว่า อี-วิ-จา ก็ไม่ผิดเช่นกัน
Lotus Evija ตัวถังใช้คาร์บอนไฟเบอร์ทั้งหมด น้ำหนักตัวเปล่าอยู่ที่ 1,680 กิโลกรัม เบาสุดในบรรดารถไฮเปอร์คาร์แบบ EV บานประตูแบบปีกผีเสื้อ เปิด-ปิด ด้วยไฟฟ้า กระจกมองข้างใช้เป็นระบบกล้องมองภาพ งานดีไซน์รอบคันดูอลังกาลสวยงาม มาพร้อมแอร์โรไดนามิกขั้นสูง ช่องลมต่างๆ ไล่ตั้งแต่หน้าจรดท้าย ออกแบบให้อากาศผ่านได้ไหลลื่น และช่วยระบายความร้อนได้รวดเร็ว พร้อมสร้างแรงกดมหาศาลจากปีกท้ายแบบ Active ที่มั่นใจได้ว่ารถระดับ 2,000 แรงม้า จะอยู่ติดพื้นดินตลอด
ห้องโดยสารของ Evija เป็นการผสมความหรูหราของรถถนน และความดุดันของรถสนามเข้าไว้ด้วยกัน มาตรวัดมาในแบบ Full Digital พวงมาลัยทรงรถแข่งหุ้มด้วย Alcantara มีลูกบิดสำหรับปรับโหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ECO, CITY, TOUR, SPORT, และ TRACK มีระบบ Cruise Control รวมถึงปุ่ม DRS หรือ Drag Reduction System (ใช้ในโหมด TRACK) ทำหน้าที่ปรับองศาปีกหลัง เทคโนโลยีเดียวกับในรถแข่ง Formula 1 แผงควบคุมสัมผัสส่วนกลางออกแบบให้ลอยตัว ใช้ควบคุมระบบปรับอากาศ ระบบความบันเทิง ระบบสั่งงานด้วยเสียง ปุ่ม Lift up ยกหน้ารถ ปุ่มสตาร์ทเครื่อง ปุ่มเปลี่ยนเกียร์ เบรกมือไฟฟ้า และปุ่มปรับยกปีกท้ายรถ เบาะนั่งเป็นแบบคาร์บอนไฟเบอร์หุ้มด้วยหนังแท้ ที่สามารถเลือกเฉดสีได้ตามที่เราต้องการ
ขุมพลังของ Lotus Evija ขับเคลื่อนแบบไฟฟ้า EV 100% ด้วยมอเตอร์ไฟฟ้า 4 ตัว และแบตเตอรี่ Lithium-ion ถูกจัดตำแหน่งไว้ตรงกลางลำ เหมือนไฮเปอร์เปอร์คาร์เครื่องยนต์สันดาป ใช้เกียร์ออโต้แบบ Single Speed ขับเคลื่อน 4 ล้อ สามารถทำกำลังได้มากถึง 2,000 แรงม้า แรงบิดมหาศาลกว่า 1,700 นิวตัน-เมตร ลากท๊อปสปีดได้สุด 320 กิโลเมตร/ชั่วโมง อัตราเร่ง 0-100 ในเวลาต่ำกว่า 3 วินาที รองรับการวิ่งระยะทางไกลกว่า 400 กิโลเมตร สำหรับการชาร์จทาง Lotus บอกว่า ความเร็วในการชาร์จ จาก 0-100% ใช้เวลาเพียง 18 นาที เท่านั้น โดยผ่านแท่นชาร์จที่กำลังไฟ 350 kW และถ้าจะย่นเวลามากกว่านี้ ต้องใช้แท่นชาร์จที่มีกำลังไฟ 800 kW ที่เราต้องรอใช้จริงในอนาคต ซึ่งจะใช้เวลาเพียง 9 นาที เท่านั้น
Lotus Evija ขณะนี้อยู่ในระหว่าง Pre-Production โดยจะถูกผลิตเพียงแค่ 130 คัน เท่านั้น ด้วยราคาค่าตัวสูงถึง 1.5 ล้านปอนด์ ตีเป็นเงินไทยเบาๆ ราว 60 ล้านบาท ยังไม่รวมภาษีนำเข้าอีกนะ
บทความโดย : Team Admin Bangkoksupercar.com
ข้อมูล : Lotus