4902 จำนวนผู้เข้าชม |
เครื่อง W16 อยู่กับพวกเรามาอย่างยาวนานตั้งแต่ยุค Veyron จนถึง Chiron ปัจจุบัน แต่สุดท้ายมีพบต้องมีจาก นี่คือ W16 Mistral เป็น Bugatti รุ่นสุดท้ายแล้วที่จะใช้เครื่อง W16 เพื่อเตรียมสร้างตำนานยุคใหม่ต่อไป
Mistral มันคือ Chiron เวอร์ชั่นโรดสเตอร์ไร้หลังคา ชื่อของมัน Mistral ได้แรงบันดาลใจจากกระแสลมที่พัดจากหุบเขาแม่น้ำโรน (Rhône River valley) โกตดาซูร์ (Côte d'Azur) พัดผ่านเมืองสุดชิคของโกตดาซูร์ (Côte d’Azur) ทางตอนใต้ฝรั่งเศส และลงสู่ทะเลเมดิเตอร์เรเนียน รูปลักษณ์ตัวรถดึงแรงบันดาลใจมาจาก Bugatti Type 57 Roadster Grand Raid ปี 1934 ซึ่งสมัยนั้นถือเป็นโรดสเตอร์ระดับหรูโครตๆ มองจากด้านหน้า Mistral ดูใกล้เคียงกับ La Voiture Noire มาก ไฟหน้ามาเป็น LED เส้น 4 ชั้น ตัวกระจกบังลมโค้งรูปตัว V กรอบเสาบางพิเศษ ด้านข้างรถคงเอกลักษณ์ช่องลม C-line ไว้ แต่จะเล็กกว่า Chiron ปกติ เหตุผลเพราะมันมีช่องสกู๊ปคู่เหนือหัวผู้ขับทำด้วยชิ้นงานคาร์บอนไฟเบอร์ส่งลมเข้าเครื่องยนต์โดยตรง มันยังเป็นโครงสร้างไว้ป้องกันถ้าเกิดการพลิกคว่ำ บั้นท้ายเด่นด้วยไฟท้าย X-taillight นอกจากเท่มันยังช่วยเพิ่มช่องว่างสำหรับแผงระบายความร้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ห้องโดยสารเหมือนที่พบใน Chiron ปกติ แต่จะเพิ่มการตกแต่งพิเศษเข้าไปอย่างหนังแท้ทอสานกัน บริเวณแผงข้างประตูและเบาะนั่งทรงใหม่ อารมณ์กระเป๋า bottega veneta หัวเกียร์ทำจากอลูมิเนียมปิดผิวด้วยไม้ ยังฝังรูปปั้นช้าง ‘dancing elephant’ ที่สร้างโดย Rembrandt Bugatti รูปปั้นนี้ติดตั้งอยู่บนฝากระโปรงโรดสเตอร์คลาสสิค Type 41 Royale ปี 1927
W16 Mistral ใช้ขุมพลัง W16 ขนาด 8.0 ลิตร เทอร์โบ 4 ลูก 1,600 แรงม้า ตัวเดียวกับ Chiron Super Sport 300+ ซึ่งเคยทำสถิติโลกความเร็ว 490.484 กม./ชม. ในปี 2019 มาแล้ว แน่นอนว่ามันตั้งเป้ามาเพื่อเป็นรถเปิดประทุนที่เร็วที่สุดในโลกอีกครั้งสานต่อ Veyron 16.4 Grand Sport Vitesse ที่ครองบัลลังก์มากว่า 10 ปี
W16 Mistral จะถูกสร้างเพียง 99 คัน เท่านั้น พร้อมค่าตัวระดับ 5 ล้านยูโร ตีเป็นเงินไทยราว 179 ล้านบาท ยังไม่รวมภาษีนำเข้า การส่งมอบจะเริ่มในปี 2024 ทุกคันขายเกลี้ยงหมดแล้ว...
บทความโดย : Team Admin Bangkoksupercar.com
ข้อมูล : Bugatti